1.ผลตอบแทนที่ได้รับในรูปเงินปันผล (Dividend)
เมื่อเราซื้อหุ้นจากบริษัทใดๆ เราก็เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของบริษัทนั้น ดังนั้นจึงมีสิทธิที่จะ
ได้รับเงินปันผล ซึ่งการจ่ายเงินปันผลนั้นขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท บางบริษัทไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล บางบริษัทมีการจ่ายเงินปันผลปีละ1 หรือหลายครั้งแตกต่างกันไปดังนั้น หากเราคาดหวัง ที่จะลงทุนและรอโตไปพร้อมกับบริษัท โดยหวังได้ผลตอบแทนในรูปแบบของเงินปันผลเราก็อาจจะซื้อหุ้นโดยดูจากข้อมูลพื้นฐานของแต่ละบริษัทในอดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น ผลประกอบการ นโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัท และความเอาใจใส่ผู้ถือหุ้นเป็นต้น
2. ผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคาหุ้นที่เราซื้อ-ขาย (Capital Gain)
สำหรับผลตอบแทนในรูปแบบนี้ เราจะได้กำไรโดยการซื้อหุ้นในราคาหนึ่ง แล้วขายหุ้นได้ในราคาที่สูงกว่า ส่วนต่างตรงนี้เราเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Capital Gain ซึ่งการซื้อ-ขายทำกำไรนั้นก็มีแบบทั้งซื้อ-ขายเร็ว
เพื่อทำกำไรระยะสั้น หรือ ลงทุนเพื่อทำกำไรในระยะยาว
กำไรในระยะสั้น เช่น กรณีที่เรารู้มาว่าอีกไม่กี่เดือนจะมีการเปิดประมูลคลื่นโทรศัพท์ 3G ซึ่ง
บริษัทที่จะได้รับผลประโยชน์จาการเปิดประมูลนี้ก็คงหนีไม่พันบริษัทให้บริการทางด้านมือถือ ถ้าเราเข้าซื้อหุ้นบริษัทนั้นในราคา 170 บาท จำนวน 100 หุ้น สล็อต ออนไลน์ หลังจากนั้นเมื่อเข้าใกลัวันประกาศผลการประมูล ราคาหุ้นของบริษัทนั้น ขึ้นเป็น 200 บาท ซึ่งถ้าเราขายออกไปในราคานี้กำไรที่เราได้จะเท่ากับ 30 บาทต่อหุ้น (200-170 = 30 บาท) เรา มีอยู่ 100 หุ้น ดังนั้นกำไรรวมที่จะได้รับจะเท่ากับ 30x100 หุ้น = 3,000 บาท เป็นต้น
รูปแบบการลงทุนในตลาดหุ้นมี 2 แนวทางใหญ่ๆ คือแนวเนันคุณค่า (Value Inves1ment หรือเรียกสั้นๆ, ว่า "VI")การลงทุนในแนวนี้เป็นการลงทุนที่วิเคราะห์ปัจจัยฟื้นฐานของบริษัทในต้านการเงิน การบริหาร ความสามารถในการแช่งชัน ผู้บริหาร ภาพรวมของตลาดและอุดสาหกรรม โดยเทียบกับราคาหุ้นที่ซื้อ-ขาย ณ ขณะนั้นว่า ราคาหุ้นถูกหรือแพงกว่าราคาหุ้นที่ควรจะเป็นทั้งในปัจจุบันและอนาคต ด้านวิเคราะห์
แล้วว่า "คุณค่า" หรือ "มูลค่า" ของบริษัทน่าจะสูงขึ้นจากผลประกอบการที่ดีในอนาคตซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นมากกว่าราคาปัจจุบัน นักลงทุนแนว V ก็จะซื้อหุ้นตัวนั้นและถือหุ้นยาวเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปีและจะทำการขาย
หันนั้นเพื่อทำกำไรเมื่อเห็นว่าราคาหุ้นได้ขึ้นสูงจนเต็มมูลค่าแล้ว
2. แนวเทคนิค (Technical Analysis)
นักลงทุนในแนวนี้จะใช้ข้อมูลในอดีต กราฟ และเครื่องมือทางสถิติ
ต่างๆ ในการสร้างสัญญาณซื้อ-ขาย โดยนักลงทุนในแนวนี้ส่วนใหญ่มักไม่สนใจ
ในข้อมูลพื้นฐานของบริษัท แต่ก็มีนักลงทุนในแนวนี้ส่วนหนึ่งที่นำช้อมูลพื้นฐาน
ของบริษัทมาประกอบการลงทุนควบคู่กันไปด้วย
คำถามที่นักลงทุนมือใหม่มักจะถาม คือ "เราควรจะเลือกแนวการเล่นหุ้นแบบไหนดี?" "แนว V
หรือ แนวเทคนิค ดีกว่ากัน?"สำหรับคำตอบ อาจจะไม่มีคำตอบที่เป็นสูตรตายตัว แต่ขอแนะนำให้นักลงทุนมือใหม่ศึกษาทั้ง 2 แนว (ดูรายละเอียดของทั้ง 2 แนวได้ใน Part 4 และPart 5) แล้วเลือกแนวทางที่ตัวเองชอบ ถนัด ลงทุนแล้วมีความสุข และสบายใจในแนวทางนั้นๆ หรือสำหรับบางคนอาจจะประยุกต์ทั้ง 2 แนวทางมาเป็นแนวทางของตัวเองก็เป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนหากแต่ละคนได้ฝึกฝนในวิธีของตัวเอง ศึกษาเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็น่า จะมากกว่าความล้มเหลวครับ